วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

อาการของการติดเชื้อเอชไอวีระยะเฉียบพลัน

โรดเอดส์หรือเอชไอวี

ข้อมูลเบื้องต้นของเชื้อเอชไอวี
icon_print_pdf
1.1 ท่านทราบไหมว่า
1.2 ความแตกต่างระหว่างเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์
1.3 เชื้อเอชไอวีแพร่ไปได้อย่างไร
1.4 หลีกเลี่ยงการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างไร
1.5 รู้ได้อย่างไรว่าเรามีเชื้อเอชไอวี
 1.6 รู้ได้อย่างไรว่าใครมีเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์
1.7 เดินทางต่างประเทศและเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์
1.8 การใช้ล่าม

1.1 ท่านทราบไหมว่า

•    เชื้อเอชไอวีเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ได้
•    เชื้อเอชไอวีมีผลกระทบต่อทุกคนโดยไม่ขึ้นกับอายุ เพศ เชื้อชาติ พื้นฐานทางวัฒนธรรม หรือศาสนา
•    ในโลก:
o    มีคนกว่า 34 ล้านคนทั่วโลกติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ โดยที่มากกว่าครึ่งเป็นผู้หญิงและเด็ก
o    การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงเป็นวิธีหลักในการแพร่เชื้อเอชไอวี
•    ในออสเตรเลีย:
o    มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์มากกว่า  24,000 คน
o    เชื้อเอชไอวีติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การติดต่อจากเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงกำลังเพิ่มขึ้น
•    มีการบำบัดรักษาต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพสำหรับเชื้อเอชไอวี และผู้ติดเชื้อสามารถมีอายุยืนและสุขภาพดีได้
•    การใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดและทวารหนัก และการไม่ใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ฉีดยาอื่นๆ ร่วมกัน ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวท่านจากเชื้อเอชไอวี

1.2 ความแตกต่างระหว่างเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์

เชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์มักเขียนเหมือนกับว่าเป็นคำเดียวกัน และมีความหมายอย่างเดียวกัน แต่เชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นสิ่งที่แตกต่างกัน
เอชไอวีเป็นตัวย่อของคำว่า ฮิวแมน อิมมิวโนเดฟฟิเชียนซี ไวรัส (Human Immunodeficiency virus) คนที่ติดเชื้อเอชไอวี (ภาษาอังกฤษเรียกว่า เอชไอวีโพสสิถีฟว์) ต่อเมื่อไวรัสนี้ได้เข้าสู่กระแสเลือดของคนนั้นๆ
เชื้อเอชไอวีทำลายระบบภูมิคุ้มกันซึ่งคอยปกป้องร่างกายจากโรคต่าง ๆ ถ้าระบบภูมิคุ้มกันของคนไหนถูกไวรัสทำลายลงอย่างรุนแรง คนนั้นจะเป็นโรคเอดส์หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) ซึ่งหมายความว่าคน ๆ นั้นมักจะเกิดการติดเชื้อและอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่โดยปกติร่างกายจะต่อสู้กับอาการเหล่านั้นได้  
การตรวจพบเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องหมายความว่าคนนั้นเป็นโรคเอดส์ หรือกำลังจะตาย  การบำบัดรักษาจะชะลอการทำลายระบบภูมิคุ้มกันซึ่งทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวียังสามารถมีสุขภาพที่ดี และดำเนินชีวิตที่แข็งแรงและสมใจได้

1.3 เชื้อเอชไอวีแพร่ไปได้อย่างไร

เชื้อเอชไอวีพบได้ในของเหลวในร่างกาย เช่นเลือด น้ำอสุจิของชาย เมือกในช่องคลอดหญิง และน้ำนมมารดา การติดเชื้อเกิดขึ้นได้เพียงเมื่อของเหลวจากผู้มีเชื้อได้เข้าสู่กระแสเลือดของอีกคนหนึ่ง


แหล่งอ้างอิง 

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข่าวเกี่ยวกับความเสียหาย ทางอินเตอร์เน็ต

ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ทำให้โลกไร้พรมแดน โดยเฉพาะการใช้อินเทอร์เน็ตที่นำความสะดวกสบาย และประโยชน์มากมายมาสู่มนุษย์ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ทั้งบุคคลทั่วไปและในองค์กรต่างยอมรับว่า ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อองค์กรและในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรวดเร็วในการก้าวทันโลกยุคข่าวสาร หรือการพบปะพูดคุยผ่านระบบออนไลน์ผ่านแป้นพิมพ์ ไม่ว่าจะคุยข้ามจังหวัด ข้ามประเทศ ไปจนถึงข้ามทวีป เรียกว่ามีสารพัดช่องทางที่จะสามารถสื่อสารถึงกันทางอินเทอร์เน็ต

แต่ขณะเดียวกันเหมือนเป็นดาบสองคม ภัยร้ายที่เกิดจากอินเทอร์เน็ตก็เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันกับวิทยาการอันก้าวล้ำนำยุคในสังคมปัจจุบัน?

ดังเช่น 2 คดีใหญ่ ที่ตำรวจนครบาลสามารถแกะรอยติดตามจับกุมคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในสังคมออนไลน์แล้วก่อเหตุเล่นงานบรรดาสุจริตชน!!

คดีแรกเป็นข้อมูล ที่ทีมข่าวอาชญากรรมเดลินิวส์ ไปเห็นเบาะแสข้อมูลในเว็บไซต์พันทิป (www.pantip.com) มีกระทู้ “เตือนภัยสังคม” เผยแพร่ช่วงกลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ระบุถึงเรื่องของชายคนหนึ่ง ชื่อ “นายโอม” อ้างตัวเป็นหลานชายนักการเมือง แต่มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้เสียหายจำนวนมากมาย โดยเฉพาะผู้หญิงตกเป็นเหยื่อหลายราย หลังจากไปหลงกลหนุ่มแสบที่เสกสรรปั้นแต่งสารพัดเรื่องราวให้คนที่เล่นแชตด้วยเกิดความสงสารใจอ่อน จนยอมให้เบอร์โทรศัพท์ สุดท้ายเมื่อมีการนัดพบกันก็จะตกเป็นเหยื่อนายโอม ทั้งฉกเงินหรือชิงทรัพย์สิน ฯลฯ หลังมีการเผยแพร่ข้อมูลกันในโลกออนไลน์ก็พบว่ามีคนตกเป็นเหยื่อมากมายบางรายถึงขั้นพลาดพลั้งถูกล่วงละเมิดทางเพศก็มี ก่อเหตุมาตั้งแต่ปี 2551-2555 โดยมีการไปแจ้งความไว้ที่หลายโรงพักด้วยกัน เช่น สน.บางนา แต่ยังไม่มีตำรวจท้องที่ใดจับกุมได้ มีแต่เพียงออก
หมายจับ

หลังจากนั้นบรรดาผู้เสียหายกลุ่มหนึ่งจึงได้เริ่มรวมตัวแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแล้วตัดสินใจ นำเรื่องราวไปโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยใช้ชื่อว่า “ตามล่าไอ้โอม” www.facebook.com/omehunter และอีเมล : ome_hunt@hotmail.com ทำให้มีผู้เสียหายที่เคยตกเป็นเหยื่อทยอยแจ้งข้อมูลและเบาะแสต่าง ๆ กระทั่งทาง พล.ต.ต.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการให้ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บช.น.และ พ.ต.อ.มานพ น่วมลิวงศ์ ผกก.สส.3 บก.สส. บช.น. วางแผนนำกำลัง ทั้งฝ่ายสืบสวน บช.น. สืบสวน บก.น.5 และ สน.บางนา ช่วยกันแกะรอยไล่ล่าตัว “ไอ้โอม” จากเบาะแสต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้จากทางอินเทอร์เน็ต

สุดท้ายไอ้โอม ซึ่งมาทราบชื่อภายหลังคือ นายชาคร บุญเชิญ อายุ 33 ปี ภูมิลำเนาอยู่ อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ ต้องมาจนมุมเพราะได้โทรศัพท์ไปหลอก นายสุเมธ วิวัฒน์วิชา ช่างภาพนิตยสารแพรว ซึ่งถูกทุบกระจกรถยนต์ขโมยทรัพย์สินในซอยบางขุน นนท์ 29 ท้องที่ สน. บางขุนนนท์ คนร้ายได้ กล้องถ่ายรูป โน้ตบุ๊ก โดยมีไฟล์ที่มีภาพถ่ายศิลปินดัง  “ณเดชน์ คูกิมิยะ” กับ  “ญาญ่า อุรัสยา” ที่จะใช้ลงนิตยสารถูกขโมยไปด้วย ไอ้โอมคงเห็นข้อมูลจากสื่อมวลชน เลยฉวยโอกาสโทรศัพท์ไปสร้างเรื่องว่ามีคนร้ายนำทรัพย์สินดังกล่าวมาจำนำไว้ 6 หมื่นบาท

แต่นายสุเมธ ไม่ตกเป็นเหยื่อง่าย ๆโทรศัพท์ไปปรึกษา พ.ต.อ.นพศิลป์ จากนั้นตำรวจจึงได้วางแผนจับกุมไอ้โอมได้สำเร็จภายในห้องพักย่านลาดพร้าว ยังพบของกลางมากมาย 138 รายการ ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋าสะพาย กระเป๋าสตางค์ บัตรประชาชน บัตรของธนาคาร และเอกสาร ใบขับขี่ บัตรข้าราชการ ซึ่งสามารถระบุยืนยันชื่อผู้เสียหายที่ถูกลักทรัพย์ได้จำนวน 66 คน เมื่อขยายผลเพิ่มเติมพบว่า มีผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ชัดเจนอีก 8 สน. คือ สน.บางนา ทองหล่อ จระเข้น้อยลุมพินี สุทธิสาร  ปทุมวัน ธรรมศาลา และ บางยี่ขัน สามารถติดต่อผู้เสียหายได้แล้ว 41 ราย อยู่ระหว่างให้ผู้เสียหายมาดูของกลางและมาชี้ตัวคนร้าย นอกจากนี้ในพื้นที่ต่างจังหวัดยังมี สภ.เมืองสุรินทร์, สภ.กาบเชิง จ.สุรินทร์,  สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี,  สภ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ฯลฯ

นอกจากนี้ในช่วงเวลาไล่เลี่ยยังเกิดเหตุลักษณะทำนองเดียวกันขึ้นอีกคือ หลอกลวงเหยื่อทางอินเทอร์เน็ตมาแล้วนับไม่ถ้วน กระทั่งพ.ต.ท.เจิดเกษม ศิริโชติ สว.สส.สน.บางชัน ตามแกะรอยคนร้ายมาดำเนินคดีได้ เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา คือ นายอิศรา หรือ ต้อม สุพร อายุ 22 ปี ภูมิลำเนา ต.บ้านพริก อ.บ้านนา จ.นครนายก ตามหมายศาลจังหวัดมีนบุรี ในข้อหา ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นผู้อื่น และทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ จับกุมตัวได้ที่ อ.วิหารแดง จ.สระบุรี พ.ต.ท.เจิดเกษม เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีผู้เสียหายหลายรายมาแจ้งความว่า ถูกนายอิศรา หลอกเป็นเพื่อนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนและขอให้โอนเงินด่วนเข้าไปให้ในบัญชีธนาคารวิหารแดง จ.สระบุรี แต่ที่น่าตกใจคือ ผู้ต้องหาเรียนจบเพียงชั้นประถมปีที่ 6 แต่ได้หลอกเหยื่อมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2552 ไปแล้วกว่า 60 ราย

สำหรับพฤติกรรมที่ใช้หลอกล่อเหยื่อนั้น นายอิศรา อ้างว่าชนวนเรื่องมาจากผูกใจเจ็บเพราะเคยถูกหลอกขายเบอร์โทรศัพท์ “เลขสวย” ทางอินเทอร์เน็ตมาก่อน ต้องเสียเงินค่าโอนเงินไป 500 บาท จากนั้นเลยวางแผนคิดจะเอาคืนบ้าง จึงไปเปิดหาอ่านข้อมูลในเว็บไซต์กูเกิ้ล โดยพิมพ์คำว่า “หลอกคนยังไงให้หลงเชื่อ” นอกจากนี้ยังคลิกเข้าไปอ่านศึกษาเรื่องราว การใช้จิตวิทยากับมนุษย์ พออ่านอย่างละเอียดแล้วจึงมาทดลองใช้ โดยไปเปิดหาเหยื่อตามเฟซบุ๊ก ไฮไฟว์ และอินสตาแกรม ขอเป็นเพื่อนกับคนอื่น ๆ  ไปทั่ว พอรู้เบอร์โทรศัพท์ก็จะเริ่มโทรฯ ไปหลอกเหยื่อว่าเป็นเพื่อนกำลังเดือดร้อน พยายามใช้วิธีการพูดจนเหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินให้มาหลายรายด้วยกัน ครั้งที่หลอกได้เงินมากสุดคือ 1 แสนบาทนั้น โทรฯ ไปหลอกคนแก่ ที่ จ.อุดรธานี นอกจากนี้ยังเคยหลอกเงินหลานชายบิ๊กทหารชื่อดัง แต่สุดท้ายก็ต้องมาจนมุมจากทีวีวงจรปิด บันทึกภาพหลักฐานเอาไว้ได้ขณะไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม

นับเป็นภัยสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง ที่กำลังผุดราวดอกเห็ด บนโลกออนไลน์ ยิ่งสังคมไทยเป็นคนขี้สงสาร ใจอ่อน พอไปเชื่อใจใครง่ายเกินไปแล้ว ก็อาจจะทำให้พลาดพลั้งเสียที! ตกเป็นเหยื่อเหล่ามิจฉาชีพสารพัดกลุ่มที่ได้แอบแฝงตัวเข้าไปล่าเหยื่อในโลกออนไลน์กันแบบเสรี บรรดาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่ง ตามข้อมูลแก๊งแสบให้ได้ เพื่อหามาตรการป้องกันและเตือนภัยประชาชนให้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพ!!

ปัญหาที่เกิด
1.หลอกลวงโดยใช้ Social Network ในการล่อลวงไปข่มขืน
สาเหตุของปัญหา
1.ไม่สามารถรู้ตัวตนที่แท้จริงได้ใน Social Network
2.หลงเชื่อโดยไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน
ผลกระทบด้านต่างๆ
1.ทำให้โดนหลอกลวงจากมิจฉาชีพ
วิธีการแก้ไข
1.ไม่ควรหลงเชื่อบุคคลต่างๆใน Social Network โดยไม่ตรวจสอบก่อน
2.ถามจากบุคคลต่างๆว่ารู้จักรึปล่าว

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตัวอย่างข้อสอบO-NET

                                                    แนวข้อสอบ O-NET มัธยมศึกษาปี่ที่ 6
เว็บไซค์1 http://testo-net.oporjang.com
เว็บไซค์2https://pakornkrits.wordpress.com

1. พระพุทธศาสนาสอนหลักความจริงที่เปนสากลในเรื่องใด 1. ตนเปนที่พึ่งแหงตน 2. การทําลายชีวิตเปนบาป 3. ทุกชีวิตตองเผชิญปญหาดวยความไมประมาท 4. มนุษยใชปญญาหาสาเหตุเพื่อแกปญหาได 2. ขอใดไมใชขอหามในศาสนาอิสลาม 1. หามฆาตนเองและผูอื่น 2. หามการคุมกําเนิดและทําแทง 3. หามการเสี่ยงโชคและการพนัน 4. หามกราบบุคคลอื่นยกเวนบิดามารดา 3. จุดมุงหมายสูงสุดในศาสนาคริสตคือเรื่องใด 1. การลางบาปกําเนิด 2. การไปรวมกับพระเจา 3. การสรางศรัทธาตอพระเจา 4. การรอดพนจากคําพิพากษา 4. พิธีกรรมประจําบาน 12 ประการ ของศาสนาพราหมณ์ฮินดูคือพิธีใด 1. พิธีศารทธ 2. พิธีสังสการ 3. พิธีบูชาเทวดา 4. พิธีประจําวรรณะ 5. อุดมเปนผูมีความขยันหมั่นเพียร ประหยัด เลี้ยงชีพตามกําลังทรัพย์และคบเพื่อนที่ดีอุดมปฏิบัติตาม ธรรมขอใด 1. โลกธรรม 2. โภคอาทิยะ 3. ทิฏฐธัมมิกัตถะ 4. อปริหานิยธรรม 6. พระมหาชนกเปนผูมีความเพียรตรงกับพุทธศาสนสุภาษิตขอใด 1. อิณาทานํทุกฺขํโลเก 2. สนฺตุฏีปรมํธนํ 3. วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา 4. ปฏิรูปการีธุรวา อุฏาตา วินทฺเต ธนํ 7. คัมภีรที่อธิบายพระไตรปฎกเรียกวาอะไร 1. ฎีกา 2. อรรถกถา 3. ปกรณพิเศษ 4. สัททาวิเสส 8. ขาแตพระสงฆ์ผูเจริญ ขาพเจาทั้งหลาย ขอนอมถวาย ...(1)... กับทั้งบริวาร เหลานี้แกพระภิกษุสงฆ์ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ...(2)... กับทั้งบริวารเหลานี้ ของขาพเจาทั้งหลาย เพื่อประโยชนและความสุข แกขาพเจาทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ ขอความขางตนเปนคําถวายสังฆทานประเภทสามัญ คําที่ตองเติมใน ชองวางที่ (1) และ (2) คือขอใด 1. อัฐบริขาร 2. ภัตตาหาร 3. มตกภัตตาหาร 4. ภัตตาหารและน้ํำ 9. ขอใดคือความหมายของ “จิต” ในจิตตานุปสสนาสติปฏฐาน 1. ธรรม 2. อารมณ 3. ความรูสึก 4. ความนึกคิด 10. ในแนวทางพระพุทธศาสนา เราสามารถพัฒนาตนเปนมนุษย์ที่สมบูรณไดอยางไร 1. รักษาศีลใหครบ 2. ยึดไตรสิกขาในการดําเนินชีวิต 3. ฝกสติปฏฐานจนถึงขั้นสุดทาย 4. มีสวนรวมในกิจกรรมทางศาสนาอยางสม่ําเสมอ


วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โครงงานเรื่อง รายการกินนู่นกินนี่

http://eatnooneatnee.blogspot.com/


ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำโครงงาน
1.       ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงาน ประสานงาน และติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมทั้งมีการวางแผนการทำงาน
2.       ทำให้กล้าคิด กล้าแสดงออก ต่อที่ประชุมชนมากขึ้น
3.       ทำให้รู้จักหน้าที่ และมีความรับผิดชอบมากขึ้น
4.       ทำให้รู้จักการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ
5.       ทำให้รู้จักการเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การศึกษาตัวอย่างโครงงานคอมพิวเตอร์

http://www.vcharkarn.com/project/919

เครื่องห่อผลไม้
สรุป : เนื่องจากการห่อผลไม้เป็นภารกิจที่สำคัญขั้นตอนหนึ่งของอาชีพสวนผลไม้ ซึ่งต้องใช้แรงงานคนและใช้เวลามาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันแมลง ลดการใช้สารเคมี และทำให้ผลไม้มีสีผิวสวยเป็นที่ต้องการของตลาด ตลอดจนผลไม้บางชนิดจะมีรสชาติดีขึ้นหลังจากการ ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุให้คิดสิ่งประดิษฐ์เป็นเครื่องห่อผลไม้ เพื่อห่อผลไม้ที่มีอยู่บริเวณบ้าน หรือในสวนผลไม้ของตนเองโดยทำการศึกษาหาความรู้จากผลงานเครื่องห่อผลไม้ที่มีขายตามท้องตลาด ที่ได้รับรางวัล ในการประกวดสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๕ ของคุณนพพล กองเอียด ชาวจังหวัดพัทลุง มาเป็นแนวทางการพัฒนาและสร้างเครื่องห่อผลไม้ในครั้งนี้ 

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรม CAL



Private Sub Command1_Click()
x = Val(Text1.Text)
y = Val(Text2.Text)
z = x * y
Label1.Caption = z
End Sub

Private Sub Command2_Click()
x = Val(Text1.Text)
y = Val(Text2.Text)
z = x / y
Label1.Caption = z
End Sub

Private Sub Command3_Click()
x = Val(Text1.Text)
y = Val(Text2.Text)
z = x + y
Label1.Caption = z
End Sub

Private Sub Command4_Click()
x = Val(Text1.Text)
y = Val(Text2.Text)
z = x - y
Label1.Caption = z
End Sub

Private Sub Command5_Click()
Text1.Text = " "
Text2.Text = " "
Label1.Caption = " "
End Sub

Private Sub Command6_Click()
End
End Sub

Private Sub Text1_Change()

End Sub

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประเภทของสื่อการเรียนรู้

การจำแนกประเภทของสื่อการเรียนรู้

      สื่อการเรียนรู้สามารถจำแนกออกตามลักษณะได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. สื่อสิ่งพิมพ์ หมายถึง หนังสือและเอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่แสดงหรือเรียบเรียงสาระความรู้ต่าง ๆ โดยใช้ตัวหนังสือที่เป็นตัวเขียน หรือตัวพิมพ์เป็นสื่อในการแสดงความหมาย สื่อสิ่งพิมพ์มีหลายชนิด ได้แก่ เอกสาร หนังสือเรียน หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร บันทึก รายงาน ฯลฯ








2. สื่อเทคโนโลยี หมายถึง สื่อการเรียนรู้ที่ผลิตขึ้นใช้ควบคู่กับเครื่องมือโสตทัศนวัสดุ หรือเครื่องมือที่เป็น เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น แถบบันทึกภาพพร้อมเสียง (วิดีทัศน์) แถบบันทึกเสียง ภาพนิ่ง สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน นอกจากนี้สื่อเทคโนโลยี ยังหมายรวมถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการเรียนรู้ เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น







3. สื่ออื่น ๆ นอกเหนือจากสื่อ 2 ประเภทที่กล่าวไปแล้ว ยังมีสื่ออื่น ๆ ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อเทคโนโลยี สื่อที่กล่าวนี้ ได้แก่
     3.1 บุคคล หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ซึ่งสามารถถ่ายทอด สาระความรู้ แนวคิดและ ประสบการณ์ไปสู่บุคคลอื่น เช่น บุคลากรในท้องถิ่น แพทย์ ตำรวจ นักธุรกิจ เป็นต้น







     3.2 ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งมีอยู่ตามธรรมชาติและสภาพแวดล้อมตัวผู้เรียน เช่น พืชผักผลไม้ ปรากฏการณ์ ห้องปฏิบัติการ เป็นต้น








     3.3 กิจกรรม / กระบวนการ หมายถึง กิจกรรมหรือกระบวนการที่ผู้สอนและผู้เรียนกำหนดขึ้นเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ ใช้ในการฝึกทักษะซึ่งต้องใช้กระบวนการคิด การปฏิบัติ การเผชิญสถานการณ์และ การประยุกต์ความรู้ของผู้เรียน เช่น บทบาทสมมติ การสาธิต การจัดนิทรรศการ การทำโครงงาน เกม เพลง เป็นต้น






     3.4 วัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์ หมายถึง วัสดุที่ประดิษฐ์ขึ้นใช้เพื่อประกอบการเรียนรู้ เช่น หุ่มจำลอง แผนภูมิ แผนที่ ตาราง สถิติ รวมถึงสื่อประเภทเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์ทดลองวิทยาศาสตร์ เครื่องมือช่าง เป็นต้น






http://www.st.ac.th/av/media_kind.htm

การใช้โปรแกรม visual basic


การใช้ visual basic เบื้องต้น






ขอขอบคุณ https://youtu.be/Pi_0dJ2NfFM

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา

Educational media :

สื่อการศึกษา หมายถึง วัสดุที่เสนอเนื้อหาสาระความรู้แก่ผู้รับ ช่วยอำนวยความสะดวกในการให้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ สื่อ อาจเป็นสื่อที่ให้สารสนเทศในตัวเอง หรือ อาจเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์ในการนำเสนอ การเรียนการสอนในชั้นเรียน การบริการสารสนเทศในห้องสมุด ศูนย์สารสนเทศ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เทคนิค วิธีการ ให้ทันกับความก้าวหน้าและวิทยาการของโลก
ผู้สอน จำเป็นต้องใช้สื่อการศึกษา / สื่อการสอนเข้ามาช่วย
ผู้เรียน อาศัยสื่อเพื่อการเรียนรู้ ค้นคว้าตัวตนเองได้ เป็นเครื่องเสริมให้สามารถรับรู้ได้ทัดเทียมกับผู้อื่น เพิ่มทักษะการศึกษา และสามารถสนองตอบต่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างของผู้สอนและผู้เรียน
สื่อหรือวัสดุสื่อ จำแนกได้เป็น
สื่อสิ่งพิมพ์ (Printed Media) หรือสื่อพิมพ์
สื่อที่ไม่ใช่สิ่งพิมพ์ (Nonprinted Media) หรือสื่อไม่พิมพ์ แบ่งได้กว้าง ๆ คือ
สื่อโสตทัศน์ (Audio-Visual Media) หมายถึงสื่อที่ให้สารวนเทศด้วยการฟัง และการมองเห็น
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Media) หมายถึงสื่อที่ต้องใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์


ภาพตัวอย่าง :



วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โครงงานคอมพิวเตอร์

โครงงาน (Project) หมายถึงอะไร
จกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่นใดไปใช้ในการศึกษาหาคำตอบในเรื่องนั้นๆ โดยมีครูผู้สอนคอยกระตุ้นแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การเลือกหัวข้อที่จะศึกษา ค้นคว้า ดำเนินการ วางแผน กำหนดขั้นตอนการดำเนินงาน โดยทั่วๆ ไป การทำโครงงานสามารถทำได้ทุกระดับการศึกษา ซึ่งอาจทำเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงงาน อาจเป็นโครงงานเล็กๆ ที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนหรือเป็นโครงงานใหญ่ที่มีความยากและซับซ้อนขึ้นก็ได้ 
A project is a work effort made over a finite period of time with a start and a finish to create a unique product, service, or result. Because a project has a start and an end, it is also called a temporary effort or endeavor 

A project is a work effort made over a finite period of time with a start and a finish to create a unique product or service or result. Because a project has a start and a finish, it is also called a temporary effort or endeavor. In other words, a project is a temporary endeavor taken to create a unique product, service or result. So, a project has two defining characteristics: It is temporary, and it creates a unique result. 


โครงงานคอมพิวเตอร์ 
     หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข


ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ลักษณะเด่นของโครงงานประเภทนี้ คือ เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียนหรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ ถือว่าคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบออนไลน์ ให้ผู้เรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้ โครงงาน ประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่างๆ โดยผู้เรียนอาจคัดเลือกเนื้อหาที่เข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา ตัวอย่างโครงงาน เช่น การเคลื่อนที่แบบโปรเจ็กไตล์ ระบบสุริยจักรวาล  ตัวแปรต่างๆ ที่มีผลต่อการชำกิ่งกุหลาบ หลักภาษาไทย  และสถานที่สำคัญของประเทศไทย เป็นต้น
2.โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน โครงงานประยุกต์ใช้งานเป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการ สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งภายในอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี และซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ ซึ่งอาจเป็นการคิดสร้างสิ่งของขึ้นใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้นๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับ ปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้ผู้เรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
3.โครงงานพัฒนาเกม โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้หรือเพื่อความ เพลิดเพลิน เกมที่พัฒนาควรจะเป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจแก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป และนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้เป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่างๆ
4.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือช่วย สร้างงานประยุกต์ต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปซอฟต์แวร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน และซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลคำ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้ในการพิมพ์งานต่างๆบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนซอฟต์แวร์การวาดรูป พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้การวาดรูปบนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปได้ โดยง่าย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่างๆ ใช้สำหรับช่วยการออกแบบสิ่งของ อาทิเช่น ผู้ใช้วาดแจกันด้านหน้า และต้องการจะดูว่าด้านบนและด้านข้างเป็นอย่างไร ก็ให้ซอฟต์แวร์คำนวณค่าและภาพที่ควรจะเป็นมาให้ เพื่อพิจารณาและแก้ไขภาพแจกันที่ออกแบบไว้ได้อย่างสะดวก
5. โครงงานประเภทการทดลองทฤษฎี โครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการ จำลองการทดลองของสาขาต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่ไม่สามารถทดลองด้วยสถานการณ์จริงได้ เช่น การจุดระเบิด เป็นต้น และเป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริง และแนวคิดต่างๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษาแล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคำอธิบาย พร้อมทั้งารจำลองทฤษฏีด้วยคอมพิวเตอร์ให้ออกมาเป็นภาพ ภาพที่ได้ก็จะเปลี่ยนไปตามสูตรหรือสมการนั้น ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่างโครงงานจำลองทฤษฎี เช่น การทดลองเรื่องการไหลของของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาปิรันย่า และการทดลองเรื่องการมองเห็นวัตถุแบบสามมิติ เป็นต้น

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

จรรยาบรรณของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต

จรรยาบรรณสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นระบบออนไลน์ ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้ ในเครือข่ายย่อมมีผู้ประพฤติไม่ดีปะปนอยู่ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อส่วนรวมอยู่เสมอ แต่ละเครือข่ายจึงได้ออกกฎ เกณฑ์การใช้งานภายในเครือข่าย เพื่อให้สมาชิกในเครือข่ายของตนยึดถือและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้สมาชิกโดยส่วนรวมได้รับประโยชน์สูงสุด และป้องกันปัญหาที่เกิดจากผู้ใช้บางคนได้ ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนจะต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ข้อบังคับของเครือข่ายที่ตนเองเป็นสมาชิก จะต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้ร่วมใช้บริการคนอื่น และจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองที่เข้าไปขอใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้บริการอยู่ มิได้เป็นเพียงเครือข่ายขององค์กรที่ผู้ใช้เป็นสมาชิกอยู่เท่านั้น แต่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ หลายพันหลายหมื่นเครือข่ายเข้าไว้ด้วยกัน มีข้อมูลข่าวสารวิ่งอยู่ระหว่างเครือข่ายเป็นจำนวนมาก การส่งข่าวสารลงในเครือข่ายนั้นอาจทำให้ข่าวสารกระจายไปยังเครือข่ายอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เช่น การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับหนึ่งอาจจะต้องเดินทางผ่านเครือข่ายหลายเครือข่ายจนกว่าจดหมายฉบับนั้นจะ เดินทางถึงปลายทาง ดังนั้นผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตจะต้องให้ความสำคัญ และตระหนักถึงปัญหาปริมาณข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่บนเครือข่าย
แม้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะได้รับสิทธิ์จากผู้บริหารเครือข่ายให้ใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายนั้นได้ ผู้ใช้จะต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เครือข่ายนั้นวางไว้ด้วย ไม่พึงละเมิดสิทธิ์หรือกระทำการใดๆ ที่จะสร้างปัญหา หรือไม่เคารพกฎเกณฑ์ที่แต่ละเครือข่ายวางไว้ และจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้บริหารเครือข่ายนั้นอย่างเคร่งครัด
การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ จะทำให้สังคมอินเทอร์เน็ตเป็นสังคมที่น่าใช้และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ผู้ใช้จะต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างที่ไม่ควรปฏิบัติ เช่น การส่งกระจายข่าวลือจำนวนมากบนเครือข่าย การกระจายข่าวแบบส่งกระจายไปยังปลายทางจำนวนมาก การส่งเอกสารจดหมายลูกโซ่ เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้จะเป็นผลเสียต่อส่วนรวม และไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อสังคมอินเทอร์เน็ต
นอกจากนี้ยังมีผู้พยายามรวบรวมกฏกติกามารยาท และจัดทำเป็น จรรยาบรรณสำหรับผู้ใช้ อินเทอร์เน็ต หรือเรียกว่า Net etiquette เพื่อให้การอยู่ร่วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ตสงบสุข จรรยาบรรณ อินเทอร์เน็ตนี้ ได้เรียบเรียงมาจากบทความบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของมหาวิทยาลัยฟอร์ริดาแอตแลนติก โดยผู้รวบรวมชื่อ Arlene H. Rinaldi นอกจากนี้ยังได้รวบรวมจากข้อคิดเห็น และการเสนอข่าวในยูสเน็ตนิวส์
จรรยาบรรณเกี่ยวกับเวิล์ดไวด์เว็บ
  1. ห้ามใส่รูปภาพที่มีขนาดใหญ่ไว้ในเว็บเพจของท่าน เพราะทำให้ผู้ที่เรียกดูต้องเสียเวลามากในการแสดงภาพเหล่านั้น ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตส่วนมากเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยโมเด็ม ทำให้ผู้เรียกดูรูปภาพขนาดใหญ่เบื่อเกินกว่าที่จะรอชมรูปภาพนั้นได้
  2. เมื่อเว็บเพจของท่านต้องการสร้าง link ไปยังเว็บเพจของผู้อื่น ท่านควรแจ้งให้เจ้าของเว็บเพจ นั้นทราบ ท่านสามารถแจ้งได้ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
  3. ถ้ามีวิดีโอหรือเสียงบนเว็บเพจ ท่านควรระบุขนาดของไฟล์วิดีโอหรือไฟล์เสียงไว้ด้วย (เช่น 10 KB, 2 MB เป็นต้น) เพื่อให้ผู้เรียกดูสามารถคำนวนเวลาที่จะใช้ในการดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอหรือไฟล์เสียงนั้น
  4. ท่านควรตั้งชื่อ URL ให้ง่าย ไม่ควรมีตัวอักษรตัวใหญ่ปนกับตัวอักษรตัวเล็ก ซึ่งจำได้ยาก
  5. ถ้าท่านต้องการเรียกดูข้อมูลจาก URL ที่ไม่ทราบแน่ชัด ท่านสามารถเริ่มค้นหาจาก domain address ได้ โดยปกติ URL มักจะเริ่มต้นด้วย www แล้วตามด้วยที่อยู่ของเว็บไซด์ เช่น
    http://www.nectec.or.th/
    http://www.tv5.co.th/
    http://www.kmitl.ac.th/
  6. ถ้าเว็บไซด์ของท่านมี link เชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่นๆ ด้วยรูปภาพเท่านั้น อาจทำให้ผู้เรียกดูที่ใช้โปรแกรมบราวเซอร์ที่ไม่สนับสนุนรูปภาพ ไม่สามารถเรียกชมเว็บไซด์ของท่านได้ ท่านควรเพิ่ม link ที่เป็นตัวหนังสือเพื่อเชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่นๆ ด้วย
  7. ท่านไม่ควรใส่รูปภาพที่ไม่มีความสำคัญต่อข้อมูลบนเว็บเพจ เนื่องจากไฟล์ของรูปภาพมีขนาดใหญ่ ทำให้เสียเวลาในการเรียกดูและสิ้นเปลือง bandwidth โดยไม่จำเป็น
  8. ท่านควรป้องกันลิขสิทธิ์ของเว็บไซด์ด้วยการใส่เครื่องหมาย trademark (TM) หรือเครื่องหมาย Copyright ฉ ไว้ในเว็บเพจแต่ละหน้าด้วย
  9. ท่านควรใส่ email address ของท่านไว้ด้านล่างของเว็บเพจแต่ละหน้า เพื่อให้ผู้เรียกชมสามารถสอบถามเพิ่มเติม หรือติดต่อท่านได้
  10. ท่านควรใส่ URL ของเว็บไซด์ไว้ด้านล่างของเว็บเพจแต่ละหน้าด้วย เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงในอนาคตสำหรับผู้ที่สั่งพิมพ์เว็บเพจนั้น
  11. ท่านควรใส่วันที่ของการแก้ไขข้อมูลบนเว็บไซด์ครั้งสุดท้ายไว้ด้วย เพื่อให้ผู้เรียกชมทราบว่าข้อมูลที่ได้รับนั้น มีความทันสมัยเพียงใด
  12. ห้ามไม่ให้เว็บไซด์ของท่านมีเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ มีเนื้อหาที่ตีความไปในทางลามกอนาจาร หรือการใช้ความรุนแรง เนื้อหาที่ขัดต่อกฎหมาย ผู้จัดทำเว็บไซด์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเนื้อหาและข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซด์นั้น
    จรรยาบรรณเกี่ยวกับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (email) และแฟ้มข้อมูล
    ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนมีตู้จดหมาย (mailbox) และอีเมล์แอดเดรสที่ใช้อ้างอิงในการรับส่งจดหมาย ความรับผิดชอบต่อการใช้งานจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะระบบจะรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยอัตโนมัติ หากมีจดหมายค้างในระบบเป็นจำนวนมาก จะทำให้พื้นที่จัดเก็บจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของระบบหมดไป ส่งผลให้ระบบไม่สามารถรับส่งจดหมายได้อีก ทำให้ผู้ใช้ทุกคนในระบบไม่สามารถรับส่งจดหมายที่สำคัญได้อีกต่อไป นอกจากนี้ผู้ใดผู้หนึ่งส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดใหญ่มาก ส่งแบบกระจายเข้าไปในระบบเดียวกันพร้อมกันหลายคน จะทำให้ระบบหยุดทำงานได้เช่นกัน
    ผู้ใช้ทุกคนพึงระลึกเสมอว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บตู้จดหมายของแต่ละคน มิได้มีผู้ใช้เพียงไม่กี่คน แต่อาจมีผู้ใช้เป็นพันคน หมื่นคน ดังนั้นระบบอาจมีปัญหาได้ง่าย ผู้ใช้แต่ละคนจะต้องมีความรับผิดชอบในการดูแลตู้จดหมายของตนเอง ดังนี้
    1. ตรวจสอบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของตนเองทุกวัน และจะต้องจัดเก็บแฟ้มข้อมูลและจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของตนให้เหลือภายใน โควต้าที่ผู้บริหารเครือข่ายกำหนดให้
    2. ลบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องการแล้ว ออกจากระบบเพื่อลดปริมาณการใช้เนื้อที่ระบบ
    3. ดูแลให้จำนวนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในตู้จดหมาย มีจำนวนน้อยที่สุด
    4. ควรโอนย้ายจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่จะใช้อ้างอิงภายหลัง มายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
    5. พึงระลึกเสมอว่าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บไว้ในตู้จดหมายนี้อาจถูกผู้อื่นแอบอ่านได้ ดังนั้นไม่ควรจัดเก็บข้อมูล หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้แล้วไว้ในตู้จดหมาย
    หลังจากผู้ใช้ได้รับบัญชี (account) ในโฮสจากผู้บริหารเครือข่าย ผู้ใช้จะได้รับสิทธิ์ให้ใช้เนื้อที่ของระบบ ซึ่งเป็นเนื้อที่เฉพาะที่เรียกว่า "โฮมไดเรกทอรี" ตามจำนวนโควต้าที่ผู้บริหารเครือข่ายกำหนด ผู้ใช้จะต้องมีความรับผิดชอบต่อเนื้อที่ดังกล่าว เพราะเนื้อที่ของระบบเหล่านี้เป็นเนื้อที่ที่ใช้ร่วมกัน เช่น โฮสแห่งหนึ่งมีผู้ใช้ร่วมกันสามพันคน ถ้าผู้บริหารเครือข่ายกำหนดเนื้อที่ให้ผู้ใช้คนละ 3 เมกะไบต์ โฮสจะต้องมีเนื้อที่จำนวน 9 จิกะไบต์ โดยความเป็นจริงแล้วโฮสไม่มีเนื้อที่จำนวนมากเท่าจำนวนดังกล่าว เพราะผู้บริหารเครือข่ายคิดเนื้อที่โดยเฉลี่ยของผู้ใช้เป็น 1 เมกะไบต์ ดังนั้นถ้าผู้ใช้ทุกคนใช้พื้นที่ให้พอเหมาะและจัดเก็บเฉพาะแฟ้มข้อมูลที่จำเป็น จะทำให้ระบบมีเนื้อที่ใช้งานได้มาก
    ผู้ใช้ทุกคนควรมีความรับผิดชอบร่วมกัน ดังนี้
    1. จัดเก็บแฟ้มข้อมูลในโฮมไดเรกทรอรีของตนให้มีจำนวนต่ำที่สุด ควรโอนย้ายแฟ้มข้อมูลมาเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง
    2. การแลกเปลี่ยนแฟ้มข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนและผู้อื่นในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ควรจะตรวจสอบไวรัสเป็นประจำ เพื่อลดการกระจายของไวรัสในเครือข่าย
    3. พึงระลึกเสมอว่าแฟ้มข้อมูลของผู้ใช้ที่เก็บไว้บนเครื่องนั้น อาจได้รับการตรวจสอบโดยผู้ที่มีสิทธิ์สูงกว่า ดังนั้นผู้ใช้ไม่ควรเก็บแฟ้มข้อมูลที่เป็นเรื่องลับเฉพาะไว้บนโฮส
    บัญญัติ 10 ประการ
    บัญญัติ 10 ประการเป็นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยึดถือไว้ เสมือนเป็นแม่บทของการปฏิบัติ ผู้ใช้พึงระลึกและเตือนความจำเสมอ
    1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
    2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
    3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
    4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
    5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
    6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
    7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
    8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
    9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำของท่าน
    10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฎระเบียบ กติกา และมีมารยาท
    จรรยาบรรณเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอินเทอร์เน็ตเป็นระเบียบ
    ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นเรื่องที่จะต้องปลูกฝังกฏเกณฑ์ของแต่ละเครือข่าย จะต้องมีการวางระเบียบเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระบบ และเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน บางเครือข่ายมีบทลงโทษที่ชัดเจน เช่น การปฏิบัติผิดกฎเกณฑ์ของเครือข่ายจะต้องตัดสิทธิ์การเป็นผู้ใช้ของเครือข่าย ในอนาคตจะมีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมาก จรรยาบรรณจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้สังคมอินเทอร์เน็ตสงบสุข หากมีการละเมิดอย่างรุนแรง กฎหมายจะเข้ามามีบทบาทต่อไป